FBS ก้าวเข้าสู่ปีที่ 16

ปลดล็อกของรางวัลวันเกิด: ตั้งแต่แก็ดเจ็ตและรถในฝันไปจนถึงทริป VIPเรียนรู้เพิ่มเติม

06 มิ.ย. 2025

พื้นฐาน

BRENT และ WTI: แตกต่างกันอย่างไร

BRENT และ WTI: แตกต่างกันอย่างไร

เมื่อคุณอ่านหรือฟังข่าวเกี่ยวกับตลาดน้ำมัน คุณมักจะเจอคำศัพท์ลึกลับสองคำ คือ Brent และ WTI (West Texas Intermediate) บางทีคุณอาจรู้แล้วว่านี่คือสองเกณฑ์มาตรฐานน้ำมันหลัก แต่คุณรู้ไหมว่าทั้งสองอย่างแตกต่างกันอย่างไร และทำไมถึงมีราคาไม่เหมือนกัน?

มาเริ่มจากพื้นฐานกันก่อน ในโลกนี้มีน้ำมันดิบหลายเกรดและหลายชนิด แต่มีเพียงสามชนิดเท่านั้นที่กลายเป็นเกณฑ์มาตรฐานระดับโลก ได้แก่ Brent, WTI และ Dubai Crude ในที่นี้เราจะพูดถึง Brent และ WTI เพราะทั้งสองชนิดนี้ถูกใช้อ้างอิงบ่อยที่สุด เนื่องจากเหมาะสำหรับการกลั่นเป็นน้ำมันเบนซิน

แล้วทำไมถึงต้องมีเกณฑ์มาตรฐานเหล่านี้ล่ะ?

เรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วง ปลายทศวรรษ 1980 เมื่อ OPEC (องค์กรประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน) ปฏิเสธที่จะควบคุมราคาน้ำมัน ทำให้ราคาขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นของเทรดเดอร์ เพื่อตั้งราคาที่เหมาะสม ผู้ส่งออกน้ำมันจึงต้องการจุดอ้างอิง นั่นคือสาเหตุที่ Brent และ WTI ได้ถูกกำหนดขึ้น ดังนั้นในปัจจุบันผู้ผลิตน้ำมันแต่ละรายจะกำหนดราคาน้ำมันที่ผลิตได้ ขึ้นอยู่กับว่าราคานั้นสอดคล้องกับเกณฑ์มาตรฐานมากน้อยเพียงใด

ถ้าคุณคิดว่า Brent หรือ WTI หมายถึงน้ำมันดิบชนิดเดียว คุณคิดผิด! ทั้งสองชื่อนี้เป็นชื่อเรียกรวม ๆ ของน้ำมันดิบหลายเกรดที่มีลักษณะร่วมกัน

มาดูรายละเอียดของลักษณะเหล่านี้กัน

  • ประการแรกคือที่ตั้ง

Brent เป็นมาตรฐานสำหรับตลาดยุโรปและเอเชีย เกณฑ์มาตรฐานนี้ประกอบด้วยน้ำมันดิบมากกว่า 15 เกรด ที่ผลิตจากแหล่งผลิตในทะเลเหนือของนอร์เวย์และสกอตแลนด์ ได้แก่ แหล่ง Brent, Ekofisk, Oseberg, และ Forties

ส่วน WTI เป็นมาตรฐานสำหรับซีกโลกตะวันตก ผลิตจากแหล่งน้ำมันในสหรัฐอเมริกา โดยหลัก ๆ จะอยู่ในรัฐเท็กซัส ลุยเซียนา และนอร์ทดาโคตา

  • ประการที่สองคือสูตรทางเคมี

ไม่มีเกรดน้ำมันที่เท่าเทียมกันอย่างแน่นอน แม้แต่เกรดน้ำมันที่อยู่ในกลุ่ม Brent หรือ WTI ก็ต่างมีโครงสร้างแตกต่างกัน

Brent เป็นน้ำมันดิบประเภทเบาและมีกำมะถันต่ำ ส่วน WTI มีความหนาแน่นสูงกว่า และมีคุณภาพสูงกว่า Brent

Brent, WTI และ Dubai Crude

ทำไม Brent และ WTI ถึงมีราคาต่างกัน?

ตั้งแต่กลางทศวรรษที่ 80 เป็นต้นมา WTI และ Brent มีราคาซื้อขายใกล้เคียงกัน บางครั้ง WTI มีราคาแพงกว่า Brent แต่ในปัจจุบัน Brent มีราคาสูงกว่า โดยความแตกต่างของราคาอยู่ที่ประมาณ 10−20 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ส่วนใหญ่ราคาจะขึ้นอยู่กับต้นทุนการผลิตและการขนส่ง

Brent ผลิตใกล้ทะเล ดังนั้นต้นทุนการขนส่งต่ำกว่ามาก ในขณะที่ WTI ผลิตในพื้นที่ห่างไกลชายฝั่ง ทำให้มีปัญหาเรื่องโครงสร้างพื้นฐานที่ทำให้การนำน้ำมันจากผลผลิตที่เพิ่มขึ้นในอเมริกาเหนือออกสู่ตลาดทำได้ยากขึ้น และส่งผลให้ต้นทุนการขนส่งสูงขึ้น

อีกปัจจัยสำคัญคือความไม่มั่นคงทางภูมิรัฐศาสตร์ ความตึงเครียดในตะวันออกกลางส่งผลต่อราคาน้ำมันมากที่สุด โดยเฉพาะ Brent ความตึงเครียดนำไปสู่การลดลงของอุปทาน เมื่ออุปทานของสินทรัพย์ใดลดลง ราคาก็จะสูงขึ้น ส่วน West Texas Intermediate ได้รับผลกระทบน้อยกว่าเพราะตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลชายฝั่งของสหรัฐอเมริกา

ราคาของ WTI ถูกกำหนดโดยปริมาณน้ำมันดิบในสต็อก เมื่อปริมาณเพิ่มขึ้น ราคา WTI จะลดลง หากปริมาณในคลังสินค้าลดลง ราคา WTI จะสูงขึ้น ซึ่งก็กลับไปที่ประเด็นอุปทานที่กล่าวไปก่อนหน้านี้อีกครั้ง

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าเกณฑ์มาตรฐานหลักทั้งสองได้รับผลกระทบจากปัจจัยที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตามแนวโน้มของทั้งคู่ส่วนใหญ่คล้ายกัน หากราคา Brent สูงขึ้น ราคา WTI ก็มีแนวโน้มสูงขึ้นเช่นกัน

สรุป

Brent และ WTI จะยังคงเป็นเกณฑ์มาตรฐานที่น่าเชื่อถือในตลาดน้ำมัน หากคุณต้องการเทรดในตลาดน้ำมัน ให้เลือกหนึ่งในสองตัวนี้ แต่เมื่อเลือกเกณฑ์มาตรฐานใดมาตรฐานหนึ่ง อย่าลืมปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาของพวกมัน ด้วยการทำเช่นนั้น คุณจะสามารถคาดการณ์ราคาในอนาคตได้อย่างแม่นยำมากขึ้น และการเทรดของคุณจะทำกำไรได้ดีขึ้น

แบ่งปันกับเพื่อน ๆ:

เปิดบัญชี FBS

โดยการลงทะเบียน คุณได้ยอมรับเงื่อนไขของ ข้อตกลงลูกค้า FBS และ นโยบายความเป็นส่วนตัว FBS และยอมรับความเสี่ยงทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการซื้อขายในตลาดการเงินระดับโลก