• 6 Dec 2024
  • พื้นฐาน

ประเภททั่วไปของการลงทุนที่ควรทราบ

1200x675_cover_EN (2).png

มันง่ายมากที่มือใหม่จะหลงทางในโลกของการลงทุน หุ้น พันธบัตร กองทุนรวม ETS และอื่น ๆ เราจะมาพูดคุยกันถึงแต่ละประเภทของสินทรัพย์ที่เป็นที่รู้จักกันดี เพื่อให้คุณสามารถเลือกตัวเลือกที่เหมาะกับคุณมากที่สุดได้

ประเภทหลัก ๆ ของการลงทุนมีอะไรบ้าง?

การลงทุนมีหลากหลายรูปแบบและขนาด แต่โดยทั่วไปแล้ว คุณสามารถแบ่งออกได้เป็นสามประเภทหลัก ๆ

  1. ตราสารทุน: นักลงทุนซื้อหุ้นในบริษัท

  2. ตราสารหนี้: รัฐบาลหรือองค์กรกู้ยืมเงิน และผู้ให้กู้จะได้รับดอกเบี้ยและการชำระเงินต้นเป็นประจำ

  3. เงินสดหรือรายการเทียบเท่าเงินสด: นอกเหนือจากเงินสดแล้ว สิ่งเหล่านี้ได้แก่ บัญชีเงินฝากกระแสรายวัน บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ หรือบัญชีตลาดเงิน

ประเภททั่วไปของหลักทรัพย์

กองทุนรวม

กองทุนรวมเป็นประเภทของตราสารการลงทุนที่เป็นที่รู้จักกันมากที่สุดประเภทหนึ่ง ผู้คนจะนำเงินไปลงทุนในกองทุนรวม ลงทุนในพอร์ตกระจายความเสี่ยงของหุ้น พันธบัตร หรือหลักทรัพย์อื่น ๆ กองทุนรวมมักจะได้รับการดำเนินการโดยผู้จัดการมืออาชีพมากกว่านักลงทุนเอง ผู้จัดการจะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะซื้อหรือขายสินทรัพย์ใดบ้างตามเป้าหมายของกองทุน

ประเภทหลัก ๆ ของกองทุนรวม ได้แก่:

  • กองทุนรวมตราสารทุน— คุณสามารถใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อลงทุนในหุ้น

  • กองทุนดัชนี — กองทุนที่บริหารแบบเฉื่อย ๆ ซึ่งสะท้อนถึงดัชนีตลาดบางรายการ (เช่น S&P 500 เป็นต้น)

  • กองทุนตราสารหนี้ — มุ่งเน้นไปที่ตราสารหนี้ที่สร้างรายได้และโดยทั่วไปมีความเสี่ยงน้อยกว่ากองทุนรวมตราสารทุน

  • กองทุนตลาดเงิน — เกี่ยวข้องกับการลงทุนในสินทรัพย์ระยะสั้น

เหตุใดจึงควรเลือกกองทุนรวม?

  • ประโยชน์หลัก ๆ ของหลักทรัพย์ประเภทนี้คือการกระจายความเสี่ยง โดยแทนที่จะนำเงินทั้งหมดไปลงทุนในหุ้นตัวเดียว กองทุนรวมจะลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภทซึ่งจะช่วยกระจายความเสี่ยง

  • ข้อดีอีกประการคือการจัดการอย่างมืออาชีพ คุณสมบัตินี้จะดึงดูดนักลงทุนมือใหม่เป็นพิเศษ ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์จะทำการวิเคราะห์ตลาด แล้วตัดสินใจลงทุนในนามของกองทุน

  • คุณสามารถซื้อหรือขายหุ้นได้ในช่วงท้ายของวันซื้อขาย ความยืดหยุ่นนี้จะช่วยให้คุณเข้าถึงเงินของคุณได้ง่าย ๆ หากคุณต้องการ

ตราสารหนี้

กำลังเลือกหลักทรัพย์ที่ให้ความสมดุลระหว่างเสถียรภาพและความเสี่ยงต่ำอยู่เหรอ? ตราสารหนี้คือหลักทรัพย์ที่เป็นคำตอบ สรุปง่าย ๆ ว่าตราสารหนี้ก็คือเงินกู้ โดยที่นิติบุคคลจะชำระคืนดอกเบี้ย และเมื่อครบกำหนด ก็จะชำระคืนตามมูลค่าที่ตราไว้ของตราสารหนี้ รัฐบาลใช้ตราสารหนี้เพื่อระดมทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐาน และบริษัทต่าง ๆ ก็จะกู้เพื่อขยายธุรกิจของตน การลงทุนในตราสารหนี้ประเภทนี้มีความน่าเชื่อถือ แต่โดยทั่วไปแล้วจะให้ผลตอบแทนที่อาจได้รับต่ำกว่า

มีองค์ประกอบสำคัญบางประการที่คุณควรทราบ เงินต้น คือมูลค่าที่ตราไว้ดั้งเดิมของตราสารหนี้ ตราสารหนี้จะจ่ายดอกเบี้ยในอัตราคงที่ ซึ่งเรียกอีกอย่างว่า อัตราดอกเบี้ยพันธบัตร ตัวอย่างเช่น ตราสารหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรที่ 5% ของมูลค่าที่ตราไว้ 1,000 ดอลลาร์ จะต้องจ่ายดอกเบี้ย 50 ดอลลาร์ต่อปี จนถึงวันครบกำหนด ซึ่งเป็นวันที่ผู้ออกพันธบัตรต้องชำระเงินต้นคืน

ตราสารหนี้มีหลายประเภท ได้แก่

  • รัฐบาล — ออกโดยรัฐบาล (เช่น พันธบัตรกระทรวงการคลังสหรัฐฯ) โดยทั่วไปแล้วจะมีความเสี่ยงต่ำ

  • องค์กร — ออกโดยบริษัทต่าง ๆ และมีแนวโน้มที่จะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลเนื่องจากความเสี่ยงที่สูงกว่า

  • เทศบาล — ออกโดยรัฐบาลท้องถิ่นหรือเทศบาล ซึ่งมักจะมีผลประโยชน์ทางด้านภาษี

อย่าปล่อยให้การลงทุนของคุณหยุดชะงัก มาสร้างแหล่งรายได้ที่เชื่อถือได้ด้วยกันกับ FBS!

เริ่มตอนนี้

หุ้น

1200x675_1_EN (2).png
ซื้อขายหุ้นกับ FBS

หุ้น โดยพื้นฐานแล้วจะสะท้อนถึงแนวคิดเรื่องความเป็นเจ้าของ เมื่อคุณซื้อหุ้น นั่นหมายถึงคุณกำลังซื้อส่วนแบ่งของสินทรัพย์และรายได้ของธุรกิจ หุ้นเป็นสิ่งที่มักจะผุดขึ้นในใจในตอนที่เราคิดถึงวิธีการสร้างความมั่งคั่งอย่างรวดเร็วในระยะยาว แม้ว่ามันจะรวดเร็ว แต่มันก็มีความมท้าทายของตัวมันเองอย่างแน่นอน เช่น มีความเสี่ยงมากกว่าการลงทุนในตราสารหนี้เนื่องจากความผันผวนของตลาด (ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้)

มาดูหุ้นสองประเภทหลักกัน

  • หุ้นสามัญ - ให้สิทธิ์แก่ผู้ถือหุ้นในการออกเสียงและรับเงินปันผลหากบริษัทจ่ายเงินปันผลให้

  • หุ้นบุริมสิทธิ์ไม่ได้ให้สิทธิในการลงคะแนนเสียง แต่ผู้ถือหุ้นจะมีสิทธิ์มากขึ้นในการเรียกร้องในสินทรัพย์

หุ้นจะมีกำไรจากส่วนทุน (กำไรที่ได้รับเมื่อมูลค่าหุ้นเพิ่มขึ้นและผู้ถือหุ้นขายไปในราคาที่สูงขึ้น) และเงินปันผล (ส่วนหนึ่งของกำไรของบริษัทที่เป็นเงินสด) ราคาหุ้นอาจมีความผันผวนขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ผลการดำเนินงานของบริษัท ความต้องการของนักลงทุน แนวโน้มอุตสาหกรรม และสภาพแวดล้อมเศรษฐกิจโดยรวม คุณสามารถซื้อหรือขายหุ้นบนตลาดหลักทรัพย์ต่าง ๆ ได้ เช่น NYSE หรือ Nasdaq นักลงทุนสามารถซื้อขายหุ้นได้ทั้งแบบ Active หรือ Passive

กองทุนรวมดัชนี (ETFs)

คุณสามารถเปรียบเทียบกองทุนรวมดัชนีกับกลุ่มสินทรัพย์ต่าง ๆ ซึ่งอาจรวมถึงหลักทรัพย์ประเภทต่าง ๆ เช่น พันธบัตร หุ้น หรือสินค้าโภคภัณฑ์ ETF ก็มีความหลากหลายเช่นเดียวกับกองทุนรวม ความแตกต่างคือคุณสามารถซื้อขายกองทุนรวมได้เฉพาะในช่วงสิ้นวันซื้อขายเท่านั้น ส่วนกองทุนรวมดัชนี คุณสามารถซื้อขายได้ในตลาดแลกเปลี่ยนในช่วงระหว่างวันซื้อขายเช่นเดียวกับหุ้น

กองทุนรวมดัชนีอาจเน้นไปที่หุ้น (ติดตามดัชนีหรือภาคส่วนใดภาคส่วนหนึ่ง) พันธบัตร อุตสาหกรรม หรือสินค้าโภคภัณฑ์

ทำไมต้องกองทุนรวมดัชนี?

การกระจายความเสี่ยงของกองทุนรวมดัชนี้จะช่วยให้นักลงทุนได้สัมผัสตลาดขึ้นและลดความเสี่ยง โดยทั่วไปแล้วจะมีค่าธรรมเนียมต่ำกว่ากองทุนรวมและไม่กำหนดจำนวนการลงทุนขั้นต่ำ แต่จะกำหนดเพียงราคาหุ้นหนึ่งหุ้นเท่านั้น แถมมันยังมีสภาพคล่องสูงกว่าและมีความยืดหยุ่นมากกว่าเมื่อเทียบกับกองทุนรวม

ในทางกลับกัน เนื่องจากกองทุนรวมจะติดตามตลาดหรือบางภาคส่วน จึงทำให้มันยังคงเผชิญกับความผันผวนของตลาด บางกองทุนรวมดัชนีอาจเบี่ยงเบนเล็กน้อยจากดัชนีอ้างอิงของมันเองเนื่องจากค่าธรรมเนียม ต้นทุนการซื้อขาย หรือปัญหาสภาพคล่อง

กองทุนรวมดัชนีสามารถตอบสนองเป้าหมายการลงทุนที่หลากหลาย ซึ่งนักลงทุนจะใช้มันเพื่อการเติบโตทั้งในระยะยาวและระยะสั้น กองทุนรวมดัชนีที่เน้นเงินปันผลและพันธบัตรจะสร้างรายได้ได้อย่างสม่ำเสมอ

แผนการเกษียณอายุ

มาดูตัวเลือกที่พบบ่อยที่สุดสำหรับการเกษียณอายุ: แผนที่นายจ้างสนับสนุนและบัญชีเงินเกษียณส่วนบุคคล (IRA)

บริษัทบางแห่งจัดทำแผนเกษียณอายุที่ได้รับการสนับสนุนจากนายจ้างให้กับพนักงานของตน และบ่อยครั้งที่ทั้งนายจ้างและลูกจ้างก็จะร่วมกันจ่าย

  • แผน 401 (k) (ในสหรัฐอเมริกา) จะช่วยให้คุณสามารถนำรายได้ก่อนหักภาษีส่วนหนึ่งไปฝากไว้ในบัญชีเงินเกษียณได้ จากนั้นคุณจะลงทุนเงินก้อนนี้ในสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ เช่น หุ้น พันธบัตร และกองทุนรวม

  • แผน 403(b) มีลักษณะคล้ายกับแผน 401(k) แต่โดยทั่วไปจะนำเสนอโดยองค์กรไม่แสวงหากำไรและโรงเรียนรัฐบาล

  • ผู้เกษียณอายุจะได้รับแผนบำนาญพร้อมรายได้รายเดือนที่แน่นอน จำนวนเงินจะขึ้นอยู่กับรายได้และระยะเวลาในการทำงานก่อนเกษียณ

บัญชีเงินเกษียณส่วนบุคคล (IRA) คือบัญชีออมทรัพย์ที่ออกแบบมาเพื่อการเกษียณอายุโดยเฉพาะ พนักงานจะมีส่วนสนับสนุนและลงทุนในกองทุนด้วยตนเองนอกเหนือจากแผนที่ได้รับการสนับสนุนจากนายจ้าง ซึ่งมีดังนี้

  • iRA แบบดั้งเดิม ที่ช่วยให้คุณสามารถลงทุนรายได้ก่อนหักภาษี ลดรายได้ประจำปีที่ต้องเสียภาษี และเพิ่มการลงทุนของคุณได้โดยไม่ต้องเสียภาษี

  • Roth IRA ที่มีการสมทบเงินโดยใช้รายได้หลังหักภาษี และไม่มีการหักภาษีทันที แถมรายได้ยังเติบโตโดยไม่ถูกคิดภาษีอีกด้วย

  • SEP IRAs สำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระ

บัตรฝากเงิน (CDs)

บัตรฝากเงิน (CDs) ถือเป็นตราสารการลงทุนที่เชื่อถือได้และอนุรักษ์นิยม มันง่ายพอ ๆ กับการฝากเงินในช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้วรับดอกเบี้ยคงที่ อย่างไรก็ตาม หากคุณพยายามถอนเงินออกก่อนสิ้นสุดระยะเวลา คุณจะต้องจ่ายค่าปรับ

ข้อดีของบัตรฝากเงินนั้นมีความชัดเจน: มีรายได้ที่แน่นอน เงินฝากมักได้รับการประกัน และอัตราดอกเบี้ยก็สูง ในทางกลับกัน พวกมันจะมีสภาพคล่องน้อยกว่ามาก แถมยังมีความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้ออยู่เสมอ

ฝากและถอนเงินอย่างปลอดภัยกับ FBS ทำเงินตอนนี้!

วิธีการฝากเงินที่ FBS

ออปชั่น

ออปชั่นยังคงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นทั่วโลกและไม่น่าแปลกใจ มันมีประโยชน์สำหรับเป้าหมายการลงทุนต่าง ๆ เช่น การจัดการความเสี่ยง การป้องกันความเสี่ยง หรือการสร้างรายได้ ออปชั่นคือหลักทรัพย์ที่ให้สิทธิ์แก่นักลงทุน (แต่ไม่มีภาระผูกพัน) ในการซื้อหรือขายสินทรัพย์ในราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้าภายในระยะเวลาที่กำหนด โปรดทราบว่านักลงทุนไม่ได้เป็นเจ้าของสินทรัพย์โดยตรง

หุ้น ดัชนี หรือสินค้าโภคภัณฑ์จะทำหน้าที่เป็นสินทรัพย์อ้างอิงสำหรับสัญญาออปชั่น นักลงทุนควรซื้อหรือขายสินทรัพย์ภายในวันหมดอายุที่กำหนด มิฉะนั้น สัญญาจะถือเป็นโมฆะ ผู้ถือออปชั่นสามารถดำเนินการออปชั่น (ซื้อหรือขายสินทรัพย์) ได้ที่ราคาใช้สิทธิ์คงที่ ต้นทุนในการซื้อออปชั่นจะถูกเรียกว่าค่าพรีเมี่ยม

ออปชั่นมีอยู่สองประเภทหลัก ๆ ได้แก่

  • คอลออปชั่นซึ่งเป็นเรื่องของการซื้อสินทรัพย์อ้างอิง การซื้อคอลออปชั่นซื้อถือเป็นความคิดที่ดีหากคุณเชื่อว่าราคาสินทรัพย์จะเติบโตเหนือราคาใช้สิทธิ์ก่อนสัญญาจะหมดอายุ หากเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น คุณสามารถซื้อสินทรัพย์นั้นได้ในราคาลด จากนั้นก็อาจขายในตลาดเพื่อทำกำไร

  • ทุทออปชั่นซึ่งเป็นเรื่องของการขายสินทรัพย์อ้างอิง รูปแบบการทำงานของพุทออปชั่นคือนักลงทุนจะซื้อพุทออปชั่นหากพวกเขาเชื่อว่าราคาของสินทรัพย์จะลดลงต่ำกว่าราคาใช้สิทธิ์ก่อนวันหมดอายุ หากเป็นเช่นนั้น ผู้ถือสามารถขายสินทรัพย์ในราคาที่สูงกว่า จากนั้นค่อยซื้อกลับมาในราคาตลาดที่ต่ำกว่า ถึงจะได้รับกำไร

ออปชั่นถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายเพื่อวัตถุประสงค์ในการลงทุนต่าง ๆ เช่น การป้องกันความเสี่ยง การเก็งกำไร การกู้ยืม และการสร้างรายได้

เมื่อต้องจัดการกับออปชั่น ควรพิจารณาถึงความเสี่ยงที่มากับออปขั่นเหล่านั้น:

  • พวกมันจะมีอายุเฉพาะในกรอบเวลาที่แน่นอนเท่านั้น

  • การใช้เลเวอเรจสามารถเพิ่มผลกำไรได้หลายเท่า แต่ก็สามารถทำให้เกิดการสูญเสียได้เช่นกัน

  • ออปชั่นมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงในราคาสินทรัพย์อ้างอิง และตลาดอาจมีความผันผวน

ตราสารอนุพันธ์

ตราสารอนุพันธ์คือสัญญาที่มีราคาขึ้นอยู่กับสินทรัพย์ ดัชนี หรือหลักทรัพย์อ้างอิง นักลงทุนมักจะซื้อขายสัญญาประเภทนี้ผ่านตลาดแลกเปลี่ยนหรือผ่านเคาน์เตอร์ (OTC) ตัวอย่างเช่น สัญญาฟอร์เวิร์ดและสัญญาซื้อขายล่วงหน้าต่างก็เป็นตราสารอนุพันธ์

โดยทั่วไปแล้วมักถูกนำมาใช้เพื่อเพิ่มเลเวอเรจ เนื่องจากมันช่วยให้นักลงทุนสามารถรักษาสถานะใหญ่ ๆ ด้วยเงินจำนวนน้อยกว่าได้ จำไว้ว่าการใช้เลเวอเรจจะขยายทั้งผลกำไรและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

เงินบำนาญ

หากคุณต้องการแหล่งรายได้ที่คงที่ในอนาคต คุณควรพิจารณาเรื่องเงินบำนาญ บริษัทประกันภัยจะเสนอทางเลือกนี้เพื่อแปลงเงินก้อนเป็นเงินจ่ายประจำที่สามารถจ่ายได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่งหรือตลอดช่วงชีวิตที่เหลือของผู้รับบำนาญ ผู้คนส่วนใหญ่มักใช้เป็นแหล่งรายได้หลังเกษียณอายุ

นี่คือคำแนะนำฉบับย่อเกี่ยวกับเงินบำนาญ

การลงทุนเริ่มแรกหรือจำนวนเงินที่จ่ายเข้าสู่เงินบำนาญรายปี ไม่ว่าจะเป็นเงินก้อนเดียวหรือผ่านการจ่ายเงินสมทบเป็นงวด ๆ ในช่วงเวลาต่าง ๆ จะถูกเรียกว่าเงินต้น โครงสร้างการจ่ายเงินจะกำหนดว่านักลงทุนจะได้รับเงินบำนาญเมื่อใดและอย่างไร สามารถกำหนดเป็นรายเดือน รายไตรมาส รายปี หรือแม้กระทั่งเป็นเงินก้อนในอนาคตก็ได้ เมื่อนักลงทุนจ่ายเงินสมทบหรือฝากเงินเข้าระบบบำนาญซึ่งทำให้เงินเติบโต นั่นหมายถึงพวกเขากำลังอยู่ในช่วงสะสมเงิน เมื่อเงินบำนาญเริ่มถูกจ่ายให้แก่นักลงทุนเป็นประจำ ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนการแจกจ่าย (หรือการจ่ายเงิน)

เงินบำนาญมีหลายประเภท ได้แก่

  • อัตราคงที่ ซึ่งจ่ายอัตราดอกเบี้ยที่รับประกันตลอดระยะเวลาที่กำหนดในระหว่างระยะสะสม

  • แปรผัน ซึ่งเสนอการลงทุนพื้นฐานในกองทุนที่หลากหลาย ดังนั้นจำนวนเงินที่จ่ายจึงแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของการลงทุน

  • ดัชนีซึ่งให้ผลตอบแทนตามผลการดำเนินงานของดัชนีตลาด เช่น S&P 500

นอกจากนี้ยังมีเงินบำนาญแบบจ่ายทันทีและแบบเลื่อนการจ่ายอีกด้วย แบบแรกนั้นจะซื้อเป็นเงินก้อนล่วงหน้าและจ่ายเงินทันที ในขณะที่แบบหลังนั้นจะเริ่มจ่ายเงินในอนาคต ซึ่งจะทำให้เงินต้นเติบโตขึ้นในระหว่างระยะสะสม

ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดของเงินบำนาญทำให้มันเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับนักลงทุน เนื่องจากเงินบำนาญจะมีกระแสรายได้ที่เชื่อถือได้และมอบความมั่นคงทางการเงิน เงินที่ลงทุนในเงินบำนาญจะเติบโตโดยไม่ต้องเสียภาษี และหลายเงินบำนาญต่างก็มีคุณสมบัติเพิ่มเติมที่สามารถปรับแต่งได้

ในส่วนของความเสี่ยง เงินบำนาญอาจมาพร้อมกับค่าธรรมเนียมจำนวนมาก โดยทั่วไปแล้วจะถือมันเป็นการลงทุนระยะยาว และมีสภาพคล่องน้อยกว่าการลงทุนประเภทอื่น เช่น หุ้นหรือพันธบัตร เงินบำนาญแบบคงที่จะให้รายได้ที่สม่ำเสมอ แต่ก็อาจสูญเสียอำนาจการซื้อได้ในระยะยาวได้หากอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น เงินบำนาญบางประเภทจะมีการป้องกันเงินเฟ้อ แต่ก็อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

การลงทุนแบบผสมผสาน

1200x675_3_TH.png

การลงทุนแบบผสมผสานเป็นการผสมผสานคุณสมบัติของทั้งหนี้ (รายได้คงที่) และหุ้น (หุ้น) เพื่อมอบทางเลือกตรงกลางระหว่างเสถียรภาพของรายได้และศักยภาพในการเติบโตให้กับผู้ลงทุน

ประเภทหลัก ๆ ของการลงทุนแบบผสามผสาน ได้แก่:

  • หุ้นกู้แปลงสภาพ

  • หุ้นบุริมสิทธิชนิดแปลงสภาพได้

  • สัญญาการจ่ายผลตอบแทนที่ไม่อยู่ในรูปตัวเงิน

การลงทุนแบบผสมผสานจะช่วยให้เกิดการกระจายความเสี่ยง โดยมีการผสมผสานสินทรัพย์หลายประเภทซึ่งสามารถช่วยลดความเสี่ยงได้ หลายการลงทุนแบบผสมผสานจะให้ทั้งรายได้ประจำ (จากเงินปันผลหรือดอกเบี้ย) และศักยภาพในการเพิ่มมูลค่าของเงินทุน การลงทุนแบบผสมผสานจะช่วยให้นักลงทุนสามารถเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีระดับการจัดสรรหุ้นและพันธบัตรที่แตกต่างกันโดยพิจารณาจากเป้าหมายส่วนตัวของตน

ถึงอย่างนั้น มันก็ยังมีปัจจัยบางประการที่คุณควรพิจารณา

  • แม้ว่าการลงทุนแบบผสมผสานจะปลอดภัยกว่าการลงทุนในหุ้นเพียงอย่างเดียว แต่มันก็มักให้ผลตอบแทนต่ำกว่าเนื่องจากมีส่วนประกอบที่มีรายได้คงที่

  • การลงทุนแบบผสมผสานมักจะมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย

  • ส่วนประกอบของตราสารหนี้และการจ่ายเงินปันผลในหุ้นผสมมีแนวโน้มที่จะจำกัดศักยภาพในการเติบโตที่การลงทุนในหุ้นล้วน ๆ อาจมอบให้

  • การลงทุนแบบผสมผสานบางประเภทอาจมีความซับซ้อนและมีค่าธรรมเนียมที่สูงกว่า ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนได้ในระยะยาว

  • ความเสี่ยงด้านตลาดและสินเชื่ออาจส่งผลกระทบต่อตราสารหนี้แบบผสมผสาน โดยเฉพาะตราสารหนี้ที่ผูกกับพันธบัตรขององค์กร

อยากเริ่มต้นการลงทุนเหรอ? ไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นที่ไหนดีใช่ไหม? เริ่มต้นกับ FBS: แพลตฟอร์มที่เชื่อถือได้ ปลอดภัย และได้รับการกำกับดูแล

ลองใช้บัญชีทดลอง

สินค้าโภคภัณฑ์

สินค้าโภคภัณฑ์หมายถึงวัตถุดิบที่สามารถซื้อ ขายหรือแลกเปลี่ยนได้ เช่น ทรัพยากร โลหะ แหล่งพลังงาน และผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร

สินค้าโภคภัณฑ์แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่:

  1. ทรัพยากรธรรมชาติที่สกัดมาจากดิน: ทรัพยากรธรรมชาติที่ได้มาจากโลก เช่น โลหะ และแหล่งพลังงาน (ทองคำ เงิน น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ ทองแดง)

  2. สินค้าเกษตร: ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและปศุสัตว์ (ข้าวสาลี ข้าวโพด กาแฟ น้ำตาล ถั่วเหลือง ปศุสัตว์)

เหตุใดจึงควรลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์?

  • มันมักจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเในตอนที่อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น ซึ่งทำให้เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่ยอดเยี่ยม ตัวอย่างเช่น สินค้าจำเป็นที่มีความต้องการสูง เช่น น้ำมัน ทองคำ และราคาอาหารต่างก็มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ

  • โดยทั่วไปแล้ว สินค้าโภคภัณฑ์จะไม่ขึ้นอยู่กับสินทรัพย์แบบดั้งเดิม เช่น หุ้นและพันธบัตร ซึ่งทำให้มันมีประสิทธิภาพในการกระจายความเสี่ยง

  • ราคาสินค้าโภคภัณฑ์อาจมีความผันผวนสูง จึงเป็นโอกาสในการทำกำไรมหาศาล ข้อจำกัดด้านอุปทาน ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นอาจทำให้ราคาปรับตัวสูงขึ้นได้

อย่างไรก็ตาม ความผันผวนอาจมีบทบาทเชิงลบได้เสมอ เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์อาจทำให้ราคาปรับตัวลงได้อย่างรวดเร็วและเหนือความคาดหมาย สำหรับการลงทุนในสินค้าที่จับต้องได้ การจัดเก็บ การประกัน และการขนส่ง อาจเพิ่มต้นทุนและทำให้ความสามารถในการทำกำไรลดลง ข้อเสียอีกประการหนึ่งก็คือสินค้าโภคภัณฑ์ส่วนใหญ่จะไม่ก่อให้เกิดรายได้ ซึ่งแตกต่างจากหุ้นและพันธบัตร

ตารางเปรียบเทียบตามประเภทของการลงทุน

ประเภทของการลงทุน

ผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ

ระดับความเสี่ยง

สภาพคล่อง

ค่าธรรมเนียม

ประสิทธิภาพทางภาษี

กองทุนรวม

กลาง

กลาง

สูง

กลาง

กลาง

ตราสารหนี้

ต่ำถึงกลาง

ต่ำถึงกลาง

ต่ำถึงสูง

ต่ำ

สูง

หุ้น

สูง

สูง

สูง

ต่ำถึงกลาง

กลาง

กองทุนรวมดัชนี

กลาง

กลาง

สูง

ต่ำ

สูง

แผนเกษียณอายุ

กลาง

ต่ำถึงกลาง

ต่ำ

กลาง

สูง

บัตรฝากเงิน

ต่ำ

ต่ำ

ต่ำ

ต่ำ

สูง

ออปชั่น

สูง

สูง

สูง

สูง

กลาง

ตราสารอนุพันธ์

สูง

สูง

สูง

สูง

ต่ำถึงกลาง

เงินบำนาญ

ต่ำถึงกลาง

ต่ำถึงกลาง

ต่ำ

สูง

สูง

การลงทุนแบบผสมผสาน

กลางถึงสูง

กลางถึงสูง

กลาง

กลาง

กลาง

สินค้าโภคภัณฑ์

สูง

สูง

กลางถึงสูง

ต่ำ

ต่ำถึงกลาง

วิธีการซื้อการลงทุนประเภทต่าง ๆ

ประเภทของการลงทุน

ซื้อได้ที่ไหน

กองทุนรวม

โดยตรงจากบริษัทกองทุน ผ่านบัญชีโบรกเกอร์หรือที่ปรึกษาทางการเงิน

ตราสารหนี้

จากแพลตฟอร์มของโบรกเกอร์ (พันธบัตรบริษัท)

จากโบรกเกอร์หรือบางครั้งโดยตรงจากหน่วยงานที่ออก (หุ้นกู้เทศบาล)

หุ้น

แพลตฟอร์มโบรกเกอร์ออนไลน์

กองทุนรวมดัชนี

ผ่านบัญชีโบรกเกอร์

แผนเกษียณอายุ

ผ่านนายจ้างของคุณ (401(k))

ผ่านทางสถาบันการเงิน เช่น ธนาคาร หรือ บริษัทนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ (IRA)

บัตรฝากเงิน

ธนาคารหรือสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน

ออปชั่น

บัญชีโบรกเกอร์ที่เปิดให้ซื้อขายออปชั่น

ตราสารอนุพันธ์

แพลตฟอร์มการซื้อขายหรือโบรกเกอร์เฉพาะทาง

เงินบำนาญ

ผ่านทางบริษัทประกันภัยหรือที่ปรึกษาทางการเงิน

การลงทุนแบบผสมผสาน

แพลตฟอร์มโบรกเกอร์หรือบริษัทกองทุนรวม

สินค้าโภคภัณฑ์

โดยตรงจากตัวแทนจำหน่าย (เช่น เหรียญทอง) ผ่านโบรกเกอร์ หรือผ่านแพลตฟอร์มการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์

ลงทะเบียนเลย

แบ่งปันกับเพื่อน ๆ: