FBS ก้าวเข้าสู่ปีที่ 16

ปลดล็อกของรางวัลวันเกิด: ตั้งแต่แก็ดเจ็ตและรถในฝันไปจนถึงทริป VIPเรียนรู้เพิ่มเติม

14 พ.ค. 2025

กลยุทธ์

วัฏจักรตลาดคืออะไร และเทรดเดอร์ใช้ประโยชน์จากมันอย่างไร?

วัฏจักรตลาดคืออะไร และเทรดเดอร์ใช้ประโยชน์จากมันอย่างไร?

ตลาดการเงินมีการสลับช่วงระหว่างการตกต่ำและการเติบโต ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องแค่กับเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงกับจิตวิทยาของนักลงทุนด้วย นักลงทุนจำนวนมากต่างพยายามวิเคราะห์วัฏจักรตลาดเพื่อเพิ่มโอกาสทำกำไร มาดูกันว่ามันคืออะไรและทำงานอย่างไร

วัฏจักรตลาดคืออะไร?

วัฏจักรตลาดคือรูปแบบหรือแนวโน้มที่มักจะเกิดขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปในตลาดต่าง ๆ โดยแสดงถึงช่วงเวลาระหว่างจุดราคาต่ำสุดหรือสูงสุดสองจุด โดยทั่วไปแล้ว วัฏจักรตลาดใหม่จะเกิดขึ้นเมื่อมีแนวโน้มในภาคธุรกิจหรืออุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เช่น นวัตกรรมใหม่ สินค้าใหม่ หรือการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ

ระยะเวลาของวัฏจักรตลาดอาจแตกต่างกันไปตั้งแต่ไม่กี่นาทีจนถึงหลายปี ขึ้นอยู่กับประเภทของตลาดนั้น ๆ วัฏจักรนี้มีหลายแง่มุม เช่น เทรดเดอร์รายวันจะโฟกัสที่ช่วงเวลา 15-60 นาที ในขณะที่นักลงทุนอสังหาริมทรัพย์จะวิเคราะห์วงจรที่ยาวนานถึง 20 ปี

การทำความเข้าใจวัฏจักรตลาด

วัฏจักรในตลาดเกิดขึ้นส่วนใหญ่เพราะมีวัฏจักรในเศรษฐกิจ

แต่ก็ยังมีเหตุผลอื่น ๆ อีก วัฏจักรเศรษฐกิจไม่เพียงส่งผลต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อสภาพจิตใจของนักลงทุนด้วย พวกเขาไม่ค่อยยึดมั่นในจุดยืนที่มีเหตุผลและมั่นคงเลย และเมื่อตลาดปรับตัวขึ้น นักลงทุนจะมองโลกในแง่ดีและยินดีรับความเสี่ยง พวกเขาจะเข้าซื้อหุ้น และราคาก็จะปรับตัวสูงขึ้น แต่เมื่ออารมณ์เปลี่ยน นักลงทุนก็จะเริ่มเทขาย และราคาหลักทรัพย์ก็ลดลง

ช่วงต่าง ๆ ของวัฏจักรตลาด

แต่ละวัฏจักรตลาดจะประกอบด้วย 4 ช่วงหลัก ได้แก่

image_1.jpg

ช่วงสะสม (Accumulation Phase)

นี่คือช่วงแรกของวัฏจักรตลาด การสะสมจะเริ่มต้นหลังจากตลาดแตะจุดต่ำสุดในวัฏจักรก่อนหน้า เมื่อความต้องการเพิ่มขึ้น ราคาจะไม่สามารถสร้างจุดต่ำสุดใหม่ได้อีก ผลที่ตามมาคือแนวโน้มขาลงจะเริ่มสูญเสียโมเมนตัม แล้วตลาดก็จะเริ่มเปลี่ยนเป็นขาขึ้น

ช่วงขาขึ้น (Mark-Up Phase)

ในช่วงขาขึ้น ตลาดจะเริ่มสะสมราคา ราคาเริ่มปรับตัวสูงขึ้นและดึงดูดผู้ซื้อจำนวนมากที่ต้องการเข้าร่วมแนวโน้มขาขึ้นในระยะเริ่มแรก แนวโน้มราคาขาขึ้นจะผลักดันให้ราคาปรับตัวสูงขึ้นไปอีก ผู้ซื้อครั้งแรกจะได้ประโยชน์จากราคาที่สูงขึ้นเพื่อทำกำไรจากการลงทุนระยะเริ่มแรกของตน ส่วนเทรดเดอร์ก็จะใช้ประโยชน์จากแนวโน้มขาขึ้นในช่วงเวลานี้เช่นกัน

ช่วงแจกจ่าย (Distribution Phase)

ในช่วงแจกจ่าย ตลาดจะประสบกับการเทขาย อย่างไรก็ตาม ราคายังคงทรงตัวเป็นเวลาค่อนข้างนาน สิ่งนี้เกิดจากการกระจายตัวที่เท่ากันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายในตลาด ความเชื่อมั่นขาขึ้นในช่วงขาขึ้นเริ่มจางหาย และไม่มีการสร้างจุดสูงสุดใหม่ นักลงทุนที่ยังไม่เข้าตลาดจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง นี่เป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนในการขายสินทรัพย์เนื่องจากราคาอยู่ในจุดสูงสุดแล้ว

ช่วงขาลง (Mark-Down Phase)

นี่คือช่วงสุดท้ายของวัฏจักรตลาด ในระยะนี้ นักลงทุนรายใหญ่จะเริ่มขายการลงทุนเพื่อล็อกผลกำไร แล้วส่วนที่เหลือของผู้เข้าร่วมก็จะตามมาอย่างรวดเร็ว เมื่อราคาลดลงในแนวโน้มขาลง อารมณ์ตลาดจะกลายเป็นขาลงมากขึ้น นักลงทุนที่เข้าตลาดเมื่อราคาอยู่ในจุดสูงสุดจะยังคงถือการลงทุนด้วยความหวังว่าราคาจะสูงขึ้นอีก แต่น่าเสียดายที่ราคายังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง นี่เป็นสัญญาณให้นักลงทุนที่สามารถระบุจุดสิ้นสุดของแนวโน้มขาลงให้ทำการเข้าซื้อใหม่ เมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้น ช่วงสะสมก็จะเริ่มต้นขึ้นและวัฏจักรตลาดใหม่ก็จะก่อตัวขึ้น

ประเภทของวัฏจักรตลาด

วัฏจักรตลาดมีอยู่หลายแบบด้วยกัน เดี๋ยวเรามาพิจารณาวัฏจักรหลัก ๆ กัน: วัฏจักรสากล (วัฏจักรตลาดของ Wyckoff) วัฏจักรตลาดวอลล์สตรีท วัฏจักรตลาดฟอเร็กซ์ และวัฏจักรตลาดอสังหาริมทรัพย์

วัฏจักรตลาด Wyckoff

image_2.jpg

วัฏจักรตลาดของ Wyckoff มีสี่ช่วง: ช่วงสะสม ช่วงขาขึ้น ช่วงแจกจ่าย ช่วงขาลง

image_3.jpg

วัฏจักรตลาดของ Wyckoff นั้นอิงจากการสังเกตการณ์ราคา ช่วงสำคัญของการพัฒนาแนวโน้ม และช่วงเวลาของการสะสมและการกระจาย แม้ว่าวิธีการของ Wyckoff ในตอนแรกจะมุ่งเน้นไปที่หุ้นเพียงอย่างเดียว แต่ตอนนี้ก็ได้มีการนำไปประยุกต์ใช้กับตลาดการเงินทุกประเภทแล้ว

วัฏจักรตลาดของ Wyckoff ประกอบด้วยสี่ช่วงหลัก: ช่วงสะสม ช่วงขาขึ้น ช่วงแจกจ่าย และช่วงขาลง

  1. ช่วงสะสมจะสร้างกรอบการซื้อขายขึ้นมา ผู้ที่ถูกเรียกว่าผู้ดูแลสภาพคล่องจะสะสมสินทรัพย์ก่อนที่นักลงทุนส่วนใหญ่จะทำ ช่วงนี้มักจะมีการเคลื่อนไหวแบบราบเรียบ ซึ่งการสะสมจะเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงของราคาอย่างมีนัยสำคัญ

  2. ในช่วงขาขึ้น ตลาดจะเริ่มเติบโตขึ้นเป็นแนวโน้มขาขึ้น ซึ่งจะค่อย ๆ ดึงดูดนักลงทุนรายใหม่เข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้ความต้องการซื้อเพิ่มสูงขึ้น เมื่อตลาดเคลื่อนตัวขึ้น นักลงทุนรายอื่นก็ถูกกระตุ้นให้เข้ามาลงทุนและซื้อสินทรัพย์มากขึ้น ผลที่ตามมาคือความตื่นตัวนี้จะส่งผลให้มีผู้คนจำนวนมากขึ้นต้องการเข้ามามีส่วนร่วม ในช่วงเวลาดังกล่าว อุปสงค์จะสูงกว่าอุปทานอย่างมาก

  3. หลังจากนั้นก็เข้าสู่ช่วงที่ผู้ขายเริ่มแจกจ่ายสินทรัพย์ที่ซื้อมา โดยพวกเขาจะขายสถานะการลงทุนที่ทำกำไรให้กับนักลงทุนที่เข้ามาในตลาดในช่วงท้าย ๆ โดยปกติแล้ว ช่วงแจกจ่ายมักจะมีการเคลื่อนไหวแบบราบเรียบ ซึ่งจะดูดซับความต้องการซื้อจนหมดในที่สุด

  4. ช่วงสุดท้ายของวิธีการของ Wyckoff คือช่วงขาลง ในช่วงนี้ อุปทานจะครองตลาด และราคาจะลดลงอย่างต่อเนื่องเกือบไม่หยุด นั่นหมายความว่าเมื่อหุ้นส่วนใหญ่จะถูกขายออกไป ตลาดก็จะเริ่มเคลื่อนตัวลง ในที่สุด อุปทานก็จะมากกว่าอุปสงค์อย่างมาก และแนวโน้มขาลงก็จะเริ่มต้นขึ้น

วัฏจักรตลาดฟอเร็กซ์

มีหลายประเภทของวัฏจักรในตลาดฟอเร็กซ์ และประเภทและลักษณะของวัฏจักรเหล่านี้ไม่ได้ถูกจำกัดด้วยพารามิเตอร์หรือกรอบเวลาใดกรอบเวลาหนึ่ง มาดูหนึ่งในวัฏจักรการผ่อนปรนและเข้มงวดของตลาดฟอเร็กซ์ที่พบได้บ่อยที่สุดที่มี 4 ช่วงด้วยกัน คือ ช่วงขยายตัว (expansion), ช่วงสูงสุด (peak), ช่วงถดถอย (recession หรือ contraction) และช่วงต่ำสุด (trough)

image_4.jpg

ช่วงแรกของวัฏจักรคือช่วงขยายตัว ในช่วงนี้ ตลาดจะฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดก่อนหน้า ความสนใจของผู้เข้าร่วมตลาดในสินทรัพย์จะเพิ่มขึ้น และพวกเขาก็จะเริ่มดำเนินการ เช่น ซื้อในช่วงขาขึ้น หรือขายในช่วงขาลง ยิ่งผู้เข้าร่วมตลาดมีกิจกรรมมากเท่าไร แนวโน้มก็จะยิ่งพัฒนาเร็วขึ้นเท่านั้น

ช่วงต่อไปคือช่วงสูงสุด ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ เช่น ปริมาณการผลิต ยอดขาย การจ้างงาน ฯลฯ อยู่ในระดับสูงสุดและไม่เติบโตอีกต่อไป ในช่วงนี้ แนวโน้มได้หมดแรงผลักดันลง การเติบโตหรือการตกต่ำอย่างรวดเร็วเริ่มหยุดลง

จากนั้นก็จะเข้าสู่ช่วงถดถอย หุ้นเริ่มปรับตัวลง และสินค้าโภคภัณฑ์ก็เริ่มตกต่ำเนื่องจากความต้องการลดลงในยามที่เศรษฐกิจอ่อนแอ ในช่วงนี้ นักลงทุนจะปิดคำสั่งซื้อขายของพวกเขา

ช่วงสุดท้ายของวัฏจักรแนวโน้มคือช่วงต่ำสุด ลักษณะเฉพาะของขั้นตอนนี้คือ ตลาดมีความสงบ และการเปลี่ยนแปลงของราคาก็ไม่มากนัก ในช่วงนี้ ตลาดกำลังสะสมแรงและรวมตัวหลังช่วงถดถอย ภาวะเศรษฐกิจไม่แย่ลงอีกต่อไป แต่ก็ยังไม่เข้าสู่ช่วงขยายตัว

วัฏจักรตลาดวอลล์สตรีท

วัฏจักรตลาดวอลล์สตรีทมีความคล้ายคลึงกับวัฏจักรตลาดของ Wyckoff โดยอิงตามช่วงสะสม (accumulation phase), ช่วงขาขึ้น (mark-up), ช่วงแจกจ่าย (distribution phase), และช่วงขาลง (mark-down)

ในแผนภูมิ จะเห็นว่าวัฏจักรตลาดวอลล์สตรีทมี 4 ช่วงอารมณ์ ได้แก่:

image_5.jpg

ช่วงแรกจะคล้ายกับช่วงสะสมในวัฏจักรของ Wyckoff และถูกเรียกว่าช่วงแอบซ่อน (stealth phase) ในช่วงนี้ ราคาจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ และผู้ทำเงินจะมองหาโอกาสเข้าซื้อที่ดีที่สุด

ช่วงที่สองคือช่วงรับรู้ (awareness) ราคากำลังปรับตัวขึ้นอีกครั้ง แต่นักลงทุนยังไม่วางใจเต็มที่ หากพวกเขาตัดสินใจกลับเข้าสู่ตลาดอีกครั้ง พวกเขาจะระมัดระวังเป็นอย่างมาก

จุดสูงสุดของวัฏจักรตลาดนี้คือช่วงคลั่งไคล้ (mania) ซึ่งเป็นจุดที่มีความเสี่ยงทางการเงินสูงสุด นี่คือช่วงเวลาที่นักลงทุนคิดว่าคงไม่มีอะไรแย่ ๆ เกิดขึ้นได้อีกแล้ว ดังนั้น วัฏจักรที่พึ่งพาตัวเองจึงเกิดขึ้น: นักลงทุนมากขึ้นเรื่อย ๆ ต่างพากันเข้ามาในตลาดด้วยความหวังที่จะทำกำไรอย่างมหาศาล ส่งผลให้ราคาปรับตัวสูงขึ้นไปอีก และมูลค่าตลาดทะยานขึ้นถึงระดับสูงสุดจนน่าเวียนหัว

จากนั้นฟองสบู่ก็แตก และตลาดเข้าสู่ช่วงพังทลาย (blow-off phase) เนื่องจาดแนวโน้มขาขึ้นถูกแทนที่ด้วยขาลง นักลงทุนเริ่มสูญเสียความหวังและตกอยู่ในความตื่นตระหนก พวกเขาไม่มั่นใจในการกระทำของตัวเองอีกต่อไป และพยายามลดความสูญเสียให้น้อยที่สุด แต่บางส่วนก็ยอมแพ้ไปในที่สุดและไม่เชื่ออีกแล้วว่าตลาดจะฟื้นตัว

วัฏจักรตลาดอสังหาริมทรัพย์

ตลาดอสังหาริมทรัพย์มีความเป็นวัฏจักรชัดเจนเนื่องจากอุปทานมักตามความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วไม่ทัน วัฏจักรนี้ประกอบด้วยสี่ช่วงหลัก ได้แก่ ช่วงฟื้นตัว ช่วงขยายตัว ช่วงอุปทานล้นตลาด และช่วงถดถอย

image_6.jpg

ช่วงฟื้นตัวคือช่วงที่ตลาดเริ่มฟื้นตัวหลังภาวะถดถอย จำนวนการทำธุรกรรมค่อย ๆ เพิ่มขึ้นและส่วนแบ่งของอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่มีผู้สนใจลดลง โดยความต้องการเริ่มดูดซับพื้นที่ส่วนเกินที่ถูกสร้างขึ้นในช่วงขยายตัว

ช่วงขยายตัวถูกขับเคลื่อนโดยการเติบโตทางเศรษฐกิจและการเพิ่มขึ้นของอำนาจซื้อของประชากร วัฏจักรตลาดเข้าสู่ช่วงนี้เมื่อระดับของอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่มีผู้สนใจลดลงถึงระดับต่ำสุด และในทางตรงกันข้ามความสนใจของผู้ซื้อก็กลับเพิ่มขึ้น ณ จุดนี้ นักลงทุนเริ่มลงทุนอย่างแข็งขันในการก่อสร้างโครงการใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้น

เมื่อถึงจุดหนึ่ง นักลงทุนจะหยุดให้ความสนใจกับต้นทุนที่สูงเกินไปของที่ดินหรือตัวโครงการ โดยเชื่อว่าการเพิ่มขึ้นของราคาและอัตราค่าเช่าในอนาคตจะชดเชยค่าใช้จ่ายของพวกเขา นั่นคือตอนที่ราคาอสังหาริมทรัพย์ในตลาดเริ่มอยู่เหนืออำนาจการซื้อที่แท้จริงของประชากรและธุรกิจอย่างเห็นได้ชัด และจำนวนการทำธุรกรรมก็เริ่มลดลง ในขณะเดียวกัน การก่อสร้างโครงการที่ได้เริ่มต้นไปในช่วงขยายตัวก็ไม่สามารถหยุดได้ในชั่วข้ามคืน และตลาดก็อิ่มตัวเกินไป ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดฟองสบู่

ช่วงถดถอยแสดงออกผ่านการลดลงของราคาและอัตราค่าเช่า ซึ่งได้รับอิทธิพลไม่เพียงแต่จากความต้องการที่ลดลงเท่านั้น แต่ยังมาจากส่วนแบ่งที่เพิ่มขึ้นของอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่มีผู้สนใจด้วย ในช่วงภาวะถดถอย นักลงทุนจะระงับโครงการใหม่ ๆ และอัตราการก่อสร้างก็จะลดลง

สรุป

การเข้าใจวัฏจักรตลาดที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ นั้นเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับเทรดเดอร์ทุกคน ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์วัฏจักรเชื่อว่ามีเพียงการใช้การศึกษาเรื่องวัฏจักรเท่านั้นที่จะสามารถทำนายทิศทางตลาดล่วงหน้าได้ ไม่ว่ามันจะเป็นความจริงหรือไม่ก็ตาม เรื่องหนึ่งที่แน่นอนคือ การวิเคราะห์วัฏจักรสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการพยากรณ์ตลาดได้

แบ่งปันกับเพื่อน ๆ:

เปิดบัญชี FBS

โดยการลงทะเบียน คุณได้ยอมรับเงื่อนไขของ ข้อตกลงลูกค้า FBS และ นโยบายความเป็นส่วนตัว FBS และยอมรับความเสี่ยงทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการซื้อขายในตลาดการเงินระดับโลก